1.กุหลาบหนู
กุหลาบหนู เป็นกุหลาบที่มีความสวยงามน่ารักและสดใส เป็นไม้พุ่ม สูง 20 - 50 เซนติเมตร ลำต้นมี หนาม ใบประกอบออกสลับ ใบย่อย 5 ใบ เป็นรูปรี ขอบหยัก ปลายแหลม โคงมน หูใบติดกับก้านใบ
สีเขียวสด ดอก มีหลายสี เช่น สีแดง สีขาว สีชมพู และดอกเดียว 2 สี ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด กลีบดอกมีทั้ง ชั้นเดียวและหลายชั้น มีกลีบดอกห้ากลีบ เกสรตัวผู้และตัวเมียแยกที่อยู่กัน ชนิดสองสี ปลาบกลีบดอก เป้นสีแดง โคนกลีบดอกเป็นสีขาว เวลาออกดอกบานจะดูสวยงามสดใสมาก
ออกดอกตลอดทั้งปีกุหลาบหนูเป็นไม้กลางแจ้ง ปลูกได้ทั้งลงดินและปลูกลงกระถาง เป็นไม้ชอบแดด จัด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ถ้าปลูกลงดินควรยกแปลงปลูกให้สูง ปลูกในกระถางควรทำทางระบายน้ำใหัไห ลดี ตั้งในที่ที่มีแดดส่อง ถึงทั้งวันดินปลูกเพิ่มฟางแห้งหั่น ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก แกลบดำ แกลบดิบ คลุกให้เ เข้ากัน จากนั้นนำต้นลงปลูกกลบดินโคนต้นให้แน่น ใช้ฟางแห้งคลุมหน้าดินไว้ บำรุงปุ๋ยขี้วัวขี้ควายแห้ง โรยตามหน้าดิน 15 วันครั้งจะทำให้โตเร็วและมีดอกสวยงาม
2.กุหลาบ

กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลก ได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น
กุหลาบสามารถจำแนกได้หลายแบบ เช่น จำแนกตามลักษณะการเจริญเติบโต ขนาดดอก สีดอก ความ สูงต้น และจำแนก ตามลักษณะของดอก เป็นต้น ในที่นี้ได้จำแนกกุหลาบเฉพาะกุหลาบตัดดอกตาม ลักษณะการใช้ประโยชน์ ทางการค้าในตลาดโลกเป็น 5 ประเภทดังนี้
1.กุหลาบดอกใหญ่ หรือ กุหลาบก้านยาว (large flowered or long stemmed roses)
2.กุหลาบดอกกลาง หรือ กุหลาบก้านขนาดกลาง (medium flowered or medium stemmed roses)
3.กุหลาบดอกเล็ก หรือ กุหลาบก้านสั้น (small flowered or short stemmed roses)
4.กุหลาบดอกช่อ (spray roses) เป็นกุหลาบชนิดใหม่ ให้ผลผลิตต่ำต่อพื้นที่ (120-160 ดอกต่อตาราง เมตรต่อปี) ความยาวก้านระหว่าง 40-70 ซม. มักมี 4-5 ดอกในหนึ่งช่อ และ ยังมีตลาดจำกัดอยู่ เช่นพันธุ์ เอวีลีน (Evelien: ชมพู) เดียดีม (Diadeem: ชมพู) และ นิกิต้า (Nikita: แดง) เป็นต้น
5.กุหลาบหนู (miniature roses) มีขนาดเล็กหรือแคระโดยธรรมชาติ ความสูงของทรงพุ่ม ไม่เกิน 1 ฟุตให้ผลผลิตสูง 450-550 ดอก/ตร.ม./ปี มีความยาวก้านดอกระหว่าง 20-30 ซม. ยังมีตลาดจำกัดอยู่ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ และอิตาลี
3.ทิวลิป
3.ทิวลิป

ทิวลิป เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ มี อยู่หลายสี ดอกทิวลิปจะปลูกได้ต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส แม้ว่าทิวลิป จะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์ แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย ทิวลิปหรือ “lale” เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน และบางส่วน ของเอเชียกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปแต่ที่ สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecq ไปเป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนัก ของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึง ดอกไม้ต่างๆ ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์ และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดู เหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in Blunt, 7) ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้ คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa” หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า “tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่ “tulpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tlbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษา อังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอาจจะ มาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tlbend” ก็เป็นได้
4.รักเร่

รักเร่ เป็นพันธุ์ไม้ดอกที่มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกโคลัม เบีย และทั่วไปในทวีปอเมริกากลาง ดอกมีรูปทรงและสีสรรสวยงามสะดุดตา ก้านดอกแข็งแรง นิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอก เช่นเดียวกับกุหลาบ แต่ในประเทศไทยไม่นิยมปลูกเนื่องมาจากมีชื่อที่ไม่เป็นมงคล ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ รักเร่เป็นไม้พุ่ม รากมีลักษณะคล้ายหัว ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ดอกเป็นแบบเดียวกับเบญจมาศ ก้านดอกยาว แข็งแรง กลีบดอก แบ่งออกเป็น 2 ตอน กลีบดอกชั้นนอกนี้แผ่กว้างออก หรืออาจจะห่อเป็นหลอดก็ได้ แล้วแต่ชนิดของดอก มีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน กลีบรองดอก ด้านในเป็นแผ่นบาง ๆ เรียง กันเป็นระเบียบติดอยู่กับฐานของดอก ส่วนกลีบรองดอกด้านนอบเล็กกว่าด้านใน เมล็ดมีลักษณะเป็นรูป ไข่ ดอกมีหลายสี เช่น ชมพู น้ำเงิน ขาว แดง แสด ส้ม ม่วง และเหลือง เป็นต้น การดูแล และการขยาย พันธ์ รักเร่ชอบขึ้นในที่กลางแจ้งแดดจัด แต่มีความชื้นพอเพียง ควรปลูกในดินที่ร่วนซุยและระบายน้ำได้ ดีบางครั้งจำเป็นต้องหาวัสดุคลุมดินให้รักเร่ เช่น ฟาง ใบไม้แห้งหรือเปลือกถั่ว เป็นต้น
สำหรับการขยายพันธุ์รักเร่นั้น สามารถเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง ต่อกิ่ง หรือใช้ราก เมื่อต้นให้ดอกแล้วต้นจะแก่และโทรมไปในที่สุด โดยจะทิ้งรากที่เป็นหัวไว้ในดิน ให้ตัดต้นเหนือระดับดินประมาณ 3 นิ้ว เพราะส่วนของตาที่จะ เจริญเป็นต้นใหม่จะอยู่บริเวณโคนต้นแล้วจึงขุดหัวขึ้นมาจากดิน ประโยชน์ หัวใต้ดิน นำมาต้มกับหมูรับ ประทานแก้โรคหัวใจ แก้ไข้ต้น น้ำคั้นจากต้นมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อน ๆ ฆ่าเชื้อ Staphylococcus แต่สำหรับใบรักเร่บางพันธุ์มีพิษไม่นิยมรับประทาน
สำหรับการขยายพันธุ์รักเร่นั้น สามารถเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง ต่อกิ่ง หรือใช้ราก เมื่อต้นให้ดอกแล้วต้นจะแก่และโทรมไปในที่สุด โดยจะทิ้งรากที่เป็นหัวไว้ในดิน ให้ตัดต้นเหนือระดับดินประมาณ 3 นิ้ว เพราะส่วนของตาที่จะ เจริญเป็นต้นใหม่จะอยู่บริเวณโคนต้นแล้วจึงขุดหัวขึ้นมาจากดิน ประโยชน์ หัวใต้ดิน นำมาต้มกับหมูรับ ประทานแก้โรคหัวใจ แก้ไข้ต้น น้ำคั้นจากต้นมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อน ๆ ฆ่าเชื้อ Staphylococcus แต่สำหรับใบรักเร่บางพันธุ์มีพิษไม่นิยมรับประทาน
5.อาซาเลีย

อาซาเลียเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่อยู่ในเขตร้อน แต่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากและมีอากาศเย็นตลอดปี จึงเป็นการยากที่จะทำการปลูกเลี้ยงในพื้นที่ราบที่ มีอุณหภูมิสูง แต่ก็มีบางพันธุ์ที่พอจะสามารถปรับตัวให้อยู่รอดและเจริญเติบโตผลิดอกได้ในสภาวะดัง กล่าวแต่อาจจะต้องมีการปรับสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ เพื่อให้เอื้อต่อการเจริญเติบโตของอาซาเลีย
อาซาเลียเป็นพืชที่มีรากขนาดเล็กและบอบบางมาก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องดูแลเรื่องเครื่องปลูก
อาซาเลียเป็นพืชที่มีรากขนาดเล็กและบอบบางมาก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องดูแลเรื่องเครื่องปลูก
จะเป็นอย่างดี เครื่องปลูกจะต้องอุ้มน้ำได้ดี ร่วนซุย และระบายน้ำได้ดีด้วยเพราะถ้าเครื่องปลูกแน่นมาก รากจะชอนไชในเนื้อดินหรือเครื่องปลูกไม่ได้ทำให้ไม่เจริญเติบโตที่สำคัญอาซาเลียเป็นพืชที่ชอบ เครื่องปลูกที่มีสภาพความเป็นกรดตามตำราต่างประเทศนั้นระดับความเป็นกรดของเครื่องปลูกที่เหมาะ สมกับการเจริญเติบโตของอาซาเลียอยู่ที่ 4.5-6.0 ดังนั้นในต่างประเทศการปลูกเพื่อจำหน่ายมักจะใช้พี ทมอสเป็นเครื่องปลูกเนื่องจากว่ามีสภาพความเป็นกรด แต่จากประสบการณ์ เราสามารถหาเครื่องปลูก ในบ้านเราแทนได้ ได้แก่ หน้าดินที่มีฮิวมัสสูงผสมกับแกลบ ขุยมะพร้าว ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ส่วนผสม อัตราส่วนเท่าไรก็ได้ตามที่เมื่อผสมมาแล้วได้เครื่องปลูกที่ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และระบายน้ำได้ดีเป็น ใช้ได้
6.ฟาแลนนอปซิสพันธุ์

ฟาแลนนอปซิสพันธุ์แท้จะมีดอกขนาดค่อนข้างเล็กจึงมีการปลูกเลี้ยงกันไม่มาก แต่ปัจจุบันกล้วยไม้ สกุลฟาแลนนอปซิส ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์จนทำให้ได้ดอกที่สวยงาม ทั้งรูปทรงและสี ของดอก เช่น ดอกกลมใหญ่ กลีบดอกหนา ดอกมีหลากหลายสีและมีลวดลายแปลกตา ฟาแลนนอปซิ สมีดอกที่สวยงาม เลี้ยงง่าย โตเร็ว อีกทั้งยังสามารถนำมาผสมพันธุ์ได้หลายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ลูกผสมในสกุลฟาแลนนอปซิสด้วยกัน หรือผสมกับสกุลอื่น เช่น สกุลม้าวิ่ง (Doritis) สกุลแวนด้า (Vanda) สกุลรีแนนเธอรา หรือสกุลแมลงปอ (Arachnis) และยังพัฒนาสายพันธุ์เพื่อผลิตเป็นการค้าได้ อีก สามารถนำดอกของฟาแลนนอปซิสมาเป็นดอกไม้ประดับแจกันหรือเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญๆ จึงทำให้มีผู้คนนิยมปลูกเป็นจำนวนมาก
การปลูกเลี้ยงฟาแลนนอปซิส ฟาแลนนอปซิสเป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ใบค่อนข้างหนาซึ่งต้อง ระวังในเรื่องความชื้นที่มีมากไปก็จะทำให้ต้นและใบ เน่าได้ง่าย สามารถปลูกลงกระถางโดยการปลูกจะ ต้องให้โคนต้นและรากส่วนบน อยู่เหนือเครื่องปลูกขึ้นมา แต่อยู่ต่ำกว่าระดับขอบกระถาง ซึ่งจะดู สวยงามและป้องกันไม่ให้โคนต้นและโคนใบได้รับความชื้นมากเกินไปจนทำให้เน่า ฤดูที่เหมาะสมใน การปลูกประมาณเดือนมีนาคม หรือก่อนเข้าฤดูฝน เพราะถ้าปลูกหลังจากที่เข้าฤดูฝนแล้วอากาศมี ความชื้นสูง อาจทำให้กล้วยไม้อวบน้ำมากเกินไปจนเน่าได้ ดังนั้นจึงต้องควบคุมเรื่องน้ำและความชื้น ค่อนข้างมาก หรือบางคนอาจปลูกโดยให้ต้นกล้วยไม้เกาะตอไม้หรือกิ่งไม้ก็สามารถทำได้ ซึ่งวิธีนี้จะ ช่วยลดปัญหาน้ำฝนที่ตกลงมาขังในส่วนโคนต้นและใบได้ เพราะไม่มีเครื่องปลูกที่อมความชื้นไว้ น้ำที่ ขังอยู่ที่ใบก็จะระเหยออกไปอย่างรวดเร็ว
7.บีโกเนีย
บีโกเนียเป็นพืชสกุลใหญ่ จึงแบ่งออกเป็นพวกๆ โดยอาศัยรูปร่างของส่วน สะสมอาหาร หรือรากเป็นหลักได้ดังนี้ คือ
1. บีโกเนียชนิดที่มีรากฝอย (Fibrous – rooted begonia) มีใบสีเขียวและสีน้ำตาลเป็นมัน ดอกออก เป็นช่อ มีทั้งสีขาว สีชมพู สีแดง และสองสี เช่น ขาวขอบแดง
2. บีโกเนียชนิดที่มีเหง้า (Rhizomatous begonia) ส่วนมากเป็นบีโกเนียที่ปลูกประดับใบ ใบมีสีสวยมี หลายแบบ เช่น รูปใบกลม รูปหัวใจ มีกลีบดอกชั้นเดียว
3. บีโกเนียชนิดที่มีหัว (Tuberous begonia) ดอกมีขนาดใหญ่ มีทั้งดอกชั้นเดียว และ ดอกซ้อน
ฤดูกาลออกดอก: ออกดอกตลอดปี
การปลูก: ปลูกเป็นพืชคลุมดิน เป็นไม้กระถาง หรือ ไม้ในภาชนะ แขวนก็ได้
การดูแลรักษา: ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย บริเวณที่มีแสงแดดรำไร รดน้ำปานกลาง อย่าให้แฉะ และควรรดปุ๋ยทางใบ ทุกๆ 2 สัปดาห์ ไม่ชอบอากาศหนาวเย็น
1. บีโกเนียชนิดที่มีรากฝอย (Fibrous – rooted begonia) มีใบสีเขียวและสีน้ำตาลเป็นมัน ดอกออก เป็นช่อ มีทั้งสีขาว สีชมพู สีแดง และสองสี เช่น ขาวขอบแดง
2. บีโกเนียชนิดที่มีเหง้า (Rhizomatous begonia) ส่วนมากเป็นบีโกเนียที่ปลูกประดับใบ ใบมีสีสวยมี หลายแบบ เช่น รูปใบกลม รูปหัวใจ มีกลีบดอกชั้นเดียว
3. บีโกเนียชนิดที่มีหัว (Tuberous begonia) ดอกมีขนาดใหญ่ มีทั้งดอกชั้นเดียว และ ดอกซ้อน
ฤดูกาลออกดอก: ออกดอกตลอดปี
การปลูก: ปลูกเป็นพืชคลุมดิน เป็นไม้กระถาง หรือ ไม้ในภาชนะ แขวนก็ได้
การดูแลรักษา: ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย บริเวณที่มีแสงแดดรำไร รดน้ำปานกลาง อย่าให้แฉะ และควรรดปุ๋ยทางใบ ทุกๆ 2 สัปดาห์ ไม่ชอบอากาศหนาวเย็น
8.แกลดิโอลัส

แกลดิโอลัส (อังกฤษ: Gladiolus) จัดเป็นพืชหัว (Corm) เมื่อปลูกแล้วจะเกิดหัวใหม่ขึ้นแทนหัวเก่า สามารถใช้ขยายพันธุ์ ได้ต่อไป
และยังมีหัวย่อยเกิดขึ้นอีกมากมาย ปัจจุบันนี้มีการผลิตหัวย่อยได้ผลดีที่ภาคเหนือของประเทศไทย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
1.แกลดิโอลัส แกรนดิฟลอรัส (Gladiolus grandiflorus) เป็นชนิดต้นใหญ่ ช่อดอกอวบยาว และแข็งแรง ดอกใหญ่เรียงชิดกัน ช่อดอกหนึ่ง ๆ อาจมีดอกถึง 20 ดอก และดอกบานพร้อมกันประมาณ 5-7 ดอก
2.แกลดิโอลัส พรายมูลินัส (Gladiolus primulinus) เป็นชนิดต้นเล็ก ช่อดอกเล็กยาวเรียว ดอกเล็กเรียง ห่างกัน จำ นวนดอกในช่อน้อย มีลักษณะพิเศษคือ กลีบบนชั้นในงุ้มงอปรกเกสร
3.แกลดิโอลัส ทูเบอเจนนิอาย (Gladiolus tubergenii) เป็นชนิดที่ต้นและดอกเล็ก แต่ดอกในช่อเรียงชิด กันใช้ในการผสมเพื่อผลิตแกลดิโอลัสพันธุ์ดอกจิ๋ว
4.แกลดิโอลัส โควิลลีอาย (Gladiolus covillei) เป็นลูกผสมระหว่าง แกลดิโอลัส คาร์ดินาลิส (Gladiolus cardinalis) ซึ่งเป็นชนิดที่มีต้นสูงใหญ่ ดอกสีแดง กับแกลดิโอลัส ทริสติส (Gladiolus tristis) ซึ่งเป็น ชนิดดอกเล็ก สูงไม่เกิน 60 ซม. ใน 1 ช่อมีเพียง 2-4 ดอก มีสีขาวหรือครีม และมีสีม่วงหรือสีนํ้าตาลปน อยู่เป็นเส้น
5.แกลดิโอลัส นานุส (Gladiolus nanus) เป็นประเภทหนึ่งของพันธุ์โควิลลีอายที่ต้นมีขนาดเล็ก ช่อดอก เล็กเรียวยาว ขนาดดอกเล็กบอบบาง มีสองสีในแต่ละกลีบจำ นวนดอกในช่อน้อยและ ดอกจะบานพร้อม กันคราวหนึ่งเพียง 1-2 ดอก ในแต่ละช่อ
9.ดอกบานชื่นหนู
ชื่อวิทยาศาสตร์: Zinnia angustifolia Kunth
ชื่อสามัญ: Narrowleaf Zinnia, Classic Zinnia
ชื่อวงศ์: Compositae
ลักษณะทั่วไป: ไม้ดอกล้มลุก ลำต้นมีขนปกคลุม
ใบ: ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปแถบหรือรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง 0.7-2 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียว มักโค้งลง มีขนเป็นเส้น ยาว ไม่มีก้านใบ
ดอก: สีเหลืองและขาว วงในสีเหลืองเข้มถึงน้ำตาล ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบที่ปลายกิ่ง มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ดอกวงนอกมีกลีบดอกชั้นเดียว รูปรีถึงรูปไช่กลับค่อนข้างกลม 5-7 กลีบ ดอก วงใน มีกลีบดอกสีเหลืองเข้มถึงน้ำตาล เป็นหลอดอัดเเน่นอยู่กลางดอก ดอกบานเต็มที่กว้าง 2-3 เซนติเมตร
ผล : ผลแห้ง เมล็ดล่อน ปลายมีขน
10.พุดตาน
พุดตาน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Hibiscus mutabilis
ชื่อสามัญ: Dixie rosemallow; Cotton rose Confederate rose
พุดตานเป็นไม้พุ่มเตี้ย ตามต้นและกิ่งมีขน ใบมีลักษณะคล้ายใบฝ้าย ขนาดใหญ่ ขอบใบหยัก ดอกมี ขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายดอกชบาซ้อน บานในตอนเช้า เมื่อแรกบานจะมีสีขาว เมื่อสายจะเปลี่ยนสีเป็น สีชมพู และเป็นสีชมพูเข้มในตอนบ่าย ออกดอกดกตลอดทั้งปี ต้นพุดตาน ชอบอยู่กลางแจ้ง ชอบ แสงแดดจัด ไม่ชอบที่แฉะหรือมีน้ำขัง ปลูกได้ดีในที่ดอน ดินร่วนซุย ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง
11.ชบา
ชบา
อังกฤษ: Hibiscus หรือ “Hibiscus” ประกอบด้วยพืชที่เรียกชื่อเดียวกัน แต่บางครั้งก็เรียกว่า “rosemallow” หรือ “jamaica” ชบามีด้วยกันราว 200 ถึง 230 สปีชีส์ ที่เป็นพืชดอกของวงศ์ Malvaceae ชอบอากาศอุ่นในกึ่งเขตร้อนและเขตร้อนทั่วโลก ไม้ตระกูลนี้รวมทั้งพืชปีเดียวและพืชยืนต้น เป็นไม้พุ่ม หรือไม้ต้นขนาดย่อม
ลักษณะทั่วไป ชบาในบ้านเรารู้จักกันมานานแล้ว จะเห็นได้จากบ้านคนสมัยก่อนจะมีชบายอยู่ แทบทุกบ้านปัจจุบันชบาได้รับการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ออกมามากมาย ซึ่งล้วนแต่สวย ๆ งาม ๆ ทั้งนั้น ทำให้ได้ดอกของชบาที่มีรูปร่างสวยงามสีสันของดอกสดใส ขบานั้นจัดเป็นไม้พุ่ม ความสูงดดย ทั่วไปประมาณ 2.50 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม มนรี ปลายใบแหลม แต่ปัจจุบันก็ยังมีพันธุ์ แตกต่างออกไป อีกมากมาย
12.ลีลาวดี
ดอกลีลาวดี เป็นพืชยืนต้นสมัยโบราณเขาเรียกชื่อว่าลั่นทม ลีลาวดี เป็นไม้ดอกยืนต้นในสกุล Plumeria มีหลาย ชนิดด้วยกันบางคนมีความเชื่อว่า ไม่ควรปลูกต้นลั่นทมในบ้านเพราะมีความเชื่อว่า เนื่องจากมีชื่อเป็นอัปมงคล คือไป พ้องกับคำว่า 'ระทม' ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อใหม่ ว่า ลีลาวดี และนิยมปลูกกันแพร่หลาย อย่างมาก ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ จำปา, จำปาลาว และจำปาขอม เป็นต้น
ลีลาวดีเป็นพืชนิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ได้แก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู สีขาวขุ่น ฯลฯ บางดอกมีมากกว่า 1 สี ดอกลีลาวดียังเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว และพบได้มากบริเวณทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง สำหรับในประเทศไทยนั้นมักพบต้นลั่นทมตามธรรมชาติทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่
13.ดอกราชาวดี
ดอกลีลาวดี เป็นพืชยืนต้นสมัยโบราณเขาเรียกชื่อว่าลั่นทม ลีลาวดี เป็นไม้ดอกยืนต้นในสกุล Plumeria มีหลาย ชนิดด้วยกันบางคนมีความเชื่อว่า ไม่ควรปลูกต้นลั่นทมในบ้านเพราะมีความเชื่อว่า เนื่องจากมีชื่อเป็นอัปมงคล คือไป พ้องกับคำว่า 'ระทม' ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อใหม่ ว่า ลีลาวดี และนิยมปลูกกันแพร่หลาย อย่างมาก ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ จำปา, จำปาลาว และจำปาขอม เป็นต้น
ลีลาวดีเป็นพืชนิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ได้แก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู สีขาวขุ่น ฯลฯ บางดอกมีมากกว่า 1 สี ดอกลีลาวดียังเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว และพบได้มากบริเวณทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง สำหรับในประเทศไทยนั้นมักพบต้นลั่นทมตามธรรมชาติทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่
13.ดอกราชาวดี
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Buddleja paniculata Wall.
ชื่อวงศ์ : Loganiaceae
ชื่อสามัญ : Butterfly Bush, Byttneria, Summer lilac
ชื่อพื้นเมือง : ไค้หางหมา, หางกระรอกเขมร
ถิ่นกำเนิด : เขตร้อนของทวีปเอเชีย
ลักษณะทั่วไป: เป็นไม้กิ่งเถาที่แตกกิ่งก้านสาขามากลำต้นเป็นเหลี่ยมเล็กน้อยเ ปลือกหุ้มลำต้นมีสี น้ำตาลอมเทาใ บด กเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกิ่งสีเขียวกว้าง 3ถึง 5เซนติเมตรยาว 4ถึง7 ซม.
หน้าใบสากคายคล้ายกระดาษทรายละเอียดท้องใบเรียบกว่า ขอบใบจักเป็นซี่เล็กๆโ โดยตลอด ใบ ทรงรูปไข่ปลายค่อน ข้างแหลม
ฤดูการออกดอก : ออกดอกเป็นระยะตลอดปี
ตระกูล: Solanaceae
ชื่อสามัญ: Day Cestrum
ถิ่นกำเนิด: หมู่เกาะอินดีสตะวันตก
ลักษณะทั่วไป: เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 - 5 เมตร แตกกิ่งยืดยาวจำนวนมาก เป็นไม้ดอกหอมสกุล เดียวกับราตรี คนไทยรู้จักกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ออกดอกดกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
ใบ:มีลักษณะรูปรีแกมใบหอก ขอบใบเป็นคลื่น
ดอก:ออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกเล็ก มี 5 - 6 กลีบ ปลายกลีบม้วนออกกลิ่น หอมตอน กลางวัน เมล็ดแก่เป็นสีดำซึ่งต่างจากราตรีที่เป็นสีขาว
15.ดอกมอร์นิ่งกลอรี่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ip omoea Rorsfalliae. (L.) Roth.
วงศ์ CONVOLVULACEAE
ชื่อสามัญ Deep rose. morning glory
ลักษณะทั่วไป
ต้น เป็นไม้เถาเลื้อยฤดูเดียว เถามีขนาดเล็ก ตามเถามีขนขึ้นปกคลุมจนทั่ว โดยเฉพาะ บริเวณปลายยอด ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว
ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบทั้ง 2 ข้างหรือใบเป็นรูปหัวใจ
ดอก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรืออาจจะออกเป็นกลุ่ม ๆ หนึ่ง ๆ จะมีประมาณ 5 ดอก รูปทรง ของดอกจะคล้ายกับแตร หรือคล้ายดอกผักบุ้ง มีขนาดเล็กและมีความยาวประมาณ 3 นิ้ว ดอกมีสีต่าง ๆ กัน เช่น สีม่วงอมน้ำเงิน หรือ สีม่วงปนขาว สีขาว สีแดง สีฟ้า สีชมพู
16.ดอกกุหลาบเมาะลำเลิง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pereskia bleo (Kunth) DC.
วงศ์ : Cactaceae
ชื่อสามัญ : Wax Rose
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 5 เมตร
ลำต้น โคนต้นมีเนื้อไม้ กิ่งก้านอวบน้ำ และมีหนามยาวสีน้ำตาลแดง แข็ง ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ
ใบ ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปรี รูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่น ก้านใบยาว
ดอก มีสีแดงอมส้ม ออกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม 2-3 ดอก เป็นช่อสั้นที่ปลายกิ่ง ดอกทยอยบาน ปลายก้านเชื่อมติดกันติดกับฐานรองดอกมีใบประดับเล็กๆ 2-5 กลีบ รูปร่างไม่แน่นอน มีทั้งสามเหลี่ยมไปจนถึงปลายเรียวแหลม กลีบเลี้ยง 2-3 กลีบ รูปไข่ กลีบดอกรูปไข่กลับ 10-15 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น ปลายกลีบเว้าตื้นหรือมีติ่งแหลม กลีบชั้นนอกใหญ่กว่าชั้นใน เกสรเพศผู้จำนวนมาก ออกดอกตลอดปี
ผล รูปกรวยแหลม ด้านบนแบน เมื่อสุกสีเหลือง
เมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก
นิเวศวิทยา : มีถิ่นกำเนิดในโคลัมเบีย เขตร้อนของอเมริกา ปานามา ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน
ขยายพันธุ์ : ด้วยการปักชำกิ่ง หรือตอนกิ่ง
17.ดอกชบาซ้อน
ชื่อสามัญ Chinese rose
15.ดอกมอร์นิ่งกลอรี่
16.ดอกกุหลาบเมาะลำเลิง
17.ดอกชบาซ้อน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus rosa sinensis.
ตระกูล MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด จีน อินเดียและฮาวาย
ลักษณะทั่วไป
ชบา ในบ้านเรารู้จักกันมานานแล้ว จะเห็นได้จากบ้านคนสมัยก่อนจะมีชบายอยู่แทบทุกบ้าน ปัจจุบันชบาได้รับการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ออกมามากมาย ซึ่งล้วนแต่สวยๆงามๆทั้งนั้นทำให้ได้ดอกของชบาที่มีรูปร่างสวยงามสีสันของดอกสดใส ขบานั้นจัดเป็นไม้พุ่ม ความสูงดดยทั่วไปประมาณ 2.50 เมตร
ใบ ใบมีสีเขียวเข้ม มนรี ปลายใบแหลม แต่ปัจจุบันก็ยังมีพันธุ์ แตกต่างออกไปอีกมากมาย
18.เยอบีร่า

ชื่อสามัญ : Gerbera , Barberton daisy
ชื่อวิทยาศาสตร์: Gerbera jamesonii
วงศ์: Compositae
ถิ่นกำเนิด: South Africa
ชื่อวิทยาศาสตร์: Gerbera jamesonii
วงศ์: Compositae
ถิ่นกำเนิด: South Africa
เยอบีร่า เป็นไม้ ดอกที่ปลูกง่าย ให้ดอกตลอดปีซึ่งสามารถจำหน่ายได้ทุกฤดูกาล ดอกของเยอบีร่านั้นมีสีสันหลากหลายและสวยสดใส จึงนิยมตัดดอกมาปักแจกันเพราะว่ามีอายุการปักแจกันนานสามารถอยู่ได้หลายวัน โดยนำมาประดับในอาคารสำนักงาน ห้องทำงาน และบ้านเรือน
เยอบีร่าไม่ใช่จะมีเพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในการดูดสารพิษภายในอาคารได้ดีอีกด้วย จึงจัดว่าเป็นไม้ดอกไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า
ดอกเยอบีร่ามีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว มีหลากสี สดใส ทั้งสีขาวไส้ดำ สีเหลืองไส้ดำ สีชมพูไส้ดำ สีแดงไส้ดำ สีส้มไส้ดำ สีบานเย็นไส้ดำ สีครีมไส้ดำ และสีเหลืองไส้ดำ ออกดอกได้ตลอดทั้งปี นำเข้า 14 สายพันธุ์ มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์
เยอบีร่าไม่ใช่จะมีเพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในการดูดสารพิษภายในอาคารได้ดีอีกด้วย จึงจัดว่าเป็นไม้ดอกไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า
ดอกเยอบีร่ามีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว มีหลากสี สดใส ทั้งสีขาวไส้ดำ สีเหลืองไส้ดำ สีชมพูไส้ดำ สีแดงไส้ดำ สีส้มไส้ดำ สีบานเย็นไส้ดำ สีครีมไส้ดำ และสีเหลืองไส้ดำ ออกดอกได้ตลอดทั้งปี นำเข้า 14 สายพันธุ์ มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์
19.ดอกสาบแร้งสาบกา

ชื่อสามัญ : Goat Weed
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ageratum conyzoides Linn.
วงศ์ : COMPOSITAE
ชื่อ อื่น ๆ : เทียนแม่ฮาง (เลย), หญ้าสาบแฮ้ง (เชียงใหม่), หญ้าสาบแร้ง (ราชบุรี), ตับเสือเล็ก (สิงห์บุรี), เซ้งอั้งโซว (จีน-แต้จิ๋ว)
ลักษณะทั่วไป
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีอายุเพียงปีเดียวตาย ลำต้นจะตั้งตรงแตกกิ่งก้านสาขามาก ทั้งต้นจะมีขนปกคลุมอยู่ และเมื่อเด็ดมาขยี้ดมจะมีกลิ่นเฉพาะตัวเลย ลำต้นสูงประมาณ 1-2 ฟุต
ใบ : ออกใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ แต่ตรงส่วนยอดใบจะเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปมนรี ปลายแหลม โคนใบเว้าคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบเป็นจักฟันเลื่อย พื้นใบมีสีเขียว และมีขนสั้น ๆ อ่อน ๆ ปกคลุมอยู่ ยาวประมาณ 2-5 นิ้ว ก้านใบมีขนปกคลุมตลอดทั้งก้าน
ดอก : ออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น ช่อหนึ่ง ๆ จะมีดอกขนาดเล็กประมาณ 6 มม. อัดตัวอยู่กันแน่น ดอกมีสีม่วงน้ำเงินหรือขาว มีอยู่ 5 กลีบ ๆ เลี้ยงสีเขียว
ผล : แปลกมาก คือจะเป็นรูปเส้นตรงสีดำ ส่วนบนจะมีขนสั้นอยู่ 5 เส้น
การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิดซึ่งจัดเป็นวัชชพืชชนิดหนึ่ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ส่วนที่ใช้ทั้งต้น ใบและราก
สรรพคุณ : ทั้งต้น แก้ไข้ ขับระดู แก้บิด แก้ลม และแก้ช่องทวารหนักหย่อนยาน ใบ พอกแก้คัน แก้แผลเรื้อรังที่เยื่อเมือก ห้ามเลือด ทาภายนอกแก้ปวดบวม แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ น้ำต้มกินแก้ไข้ น้ำคั้นใช้หยอดตาแก้ตาเจ็บ เป็นยาทำให้อาเจียน
ราก: ใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนนิ่ว แก้ไข้
20.ดอกแพรเซียงไฮ้

ชื่อวิทยาศาสตร์: Portulaca grandiflora Hook.f
ชื่อวงศ์: PORTULACACEAE
ชื่อสามัญ: Portulaca Rose, Rose Moss, Sun Plant
ชื่อพื้นเมือง: ดอกผักเบี้ย แดงสวรรค์ ปักเบี้ยฝรั่ง (กรุงเทพฯ)
ลักษณะทั่วไป: ต้น เป็นไม้ดอกคลุมดิน สูงประมาณ 0.2 เมตร ลำต้นและใบอวบน้ำ
ใบ: ใบเดี่ยวออกเวียนสลับ รูปแท่งทรงกระบอก ใบยาว 2-3 เซนติเมตร มักโค้ง ปลายแหลม
ดอก: ดอกมีหลายสีเช่น สีชมพู แดง ม่วงหรือขาวบางทีsลายออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งมี 2-8 ดอก กลีบเลี้ยง 2 กลีบ รูปไข่ ยาว 0.5-1.2 เซนติเมตร กลีบดอก 4-8 กลีบ หรือมากกว่า รูปไข่กลับยาว 1.2-3 เซนติเมตร ขอบย้วย มีทั้งพันธุ์ลาและพันธุ์ซ้อน ฝัก/ผล รูปไข่เมื่อแก่แตกตามขวาง เมล็ด รูปไต ผิวค่อนข้างขรุขระ
เนื้อหาสาระดีมาก!!! *-*
ตอบลบ